chicha

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

แอปเปิ้ลแต่ละสีมีประโยชน์ต่างกัน



แอปเปิ้ลผลไม้ยอดนิยม นอกจากรูปร่างจะน่ารับประทานแล้ว ยังมีประโยชน์มากมายอีกด้วย แอปเปิ้ลในท้องตลาดมีอยู่หลายสี แต่ละสีก็มีประโยชน์แตกต่างกัน
หลายคนไม่ชอบทานเปลือกแอปเปิ้ล ซึ่งนั่นผิดมหันต์ เพราะจะทำให้คุณค่าจากสารอาหารที่จะได้รับจากผลไม้ชนิดนี้ ลดลงไปอย่างมาก ประโยชน์ของแอปเปิ้ลที่คุณควรรู้มีดังต่อไปนี้

แอปเปิ้ลที่เห็นตามท้องตลาด มีทั้งเปลือกสีแดง สีชมพู สีเขียว และสีเหลือง แตกต่างกันไปตามแต่ละสายพันธุ์ แต่เนื้อข้างในก็เหมือนกันคือ เป็นเนื้อทรายละเอียดสีขาวนวล ทราบไหมว่า เมื่อรับประทานแอปเปิ้ลโดยไม่ปอกเปลือก 1 ผล จะได้รับพลังงานประมาณ 80 กิโลแคลอรี่ มีวิตามินบี 6 เท่ากับ 0.1 มิลลิกรัม และวิตามินซีมากถึง 7.9 มิลลิกรัม
นอกจากนั้นยังมีสารเบต้าแคโรทีน และเส้นใยไฟเบอร์ ช่วยในเรื่องของการบำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ และฆ่าเชื้อไวรัส แต่ถ้าปอกเปลือกปริมาณสารอาหารดังกล่าวก็จะลดลงไปด้วย มีความเชื่อของฝรั่งกล่าวไว้ว่า การรับประทานแอปเปิ้ลวันละผล ช่วยให้ห่างไกลหมอได้ โดยแอปเปิ้ลแต่ละสีก็มีประโยชน์ต่างกันดังนี้

แอปเปิ้ลสีแดง 
ประโยชน์ที่โดดเด่น คือ มีสารแอนตี้ออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวอีกด้วย

แอปเปิ้ลสีชมพู 
คุณค่าทางสารอาหารที่สำคัญคือ มีสารฟิโนลิกมากที่สุด ซึ่งสารตัวนี้ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย

แอปเปิ้ลสีเขียว
มีรสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ดี เพราะมีน้ำตาลน้อย และมีสารอิลาสตินและคอลลาเจนเช่นเดียวกัน ช่วยให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดี

แอปเปิ้ลสีเหลือง 
มีสารเควอร์ซิติน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก

นามสกุลแรกของกรุงสยาม


ตั้งแต่โบราณมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ คนไทยเราไม่มีนามสกุลใช้  มีแต่ชื่อโดดๆ ทั้งชื่อก็ยังซ้ำกันมาก อย่าง อิน จัน  มั่น  คง  แดง ดำ ขาว เขียว เลยไม่รู้ว่าแดงไหน ดำไหน ด้วยเหตุนี้ ในรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ประกาศพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้นในวันที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๕ บังคับใช้เป็นกฎหมายตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ เป็นต้นไป  ให้คนไทยต้องมีนามสกุล เพื่อสะดวกแก่การจดทะเบียน  คนเกิด  คนตาย และทำการสมรส ทรงชี้แจงถึงคุณประโยชน์ของการมีนามสกุลไว้ใน “จดหมายเหตุรายวัน” ว่า “การมีชื่อตระกูลเปนความสะดวกมาก อย่างต่ำๆ ที่ใครๆ ก็ย่อมจะมองเห็นได้ คือชื่อคนในทะเบียฬสำมโนครัวจะได้ไม่ปนกัน แต่อันที่จริงจะมีผลสำคัญกว่านั้น  คือ จะทำให้เรารู้จัก รำฤกถึงบรรพบุรุษของตนผู้ได้อุสาหก่อสร้างตัวมา  และได้ตั้งตระกูลไว้ให้มีชื่อในแผ่นดิน เราผู้เปนเผ่าพันธุ์ของท่านได้รับมรฎกมาแล้ว จำต้องประพฤติตนให้สมกับที่ท่านได้ทำดีมาไว้ และการที่จะตั้งใจเช่นนี้ ถ้ามีชื่อที่ต้องรักษา มิให้เสื่อมทรามไปแล้วย่อมจะทำให้เปนเครื่องยึดเหนี่ยวหน่วงใจคนมิให้ตามใจตนไปฝ่ายเดียว จะถือว่า “ตัวใครก็ตัวใคร” ไม่ได้อีกต่อไป  จะต้องรักษาทั้งชื่อของตัวเองทั้งชื่อของตระกูลด้วยอีกส่วน ๑”
ตอนให้ตั้งนามสกุลก็เป็นเรื่องโกลาหลไม่น้อย เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าจะตั้งอย่างไร นายอำเภอและเจ้าเมืองจึงเป็นที่พึ่ง วันๆ ไม่ต้องทำอะไร  ได้แต่ตั้งนามสกุล ให้คนที่ไปหากันแน่น   พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ  ก็พระราชทานนามสกุลแก่ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน  ดังที่ทรงบันทึกไว้ใน  “ทะเบียนามสกุล” มีถึง ๖,๔๓๒ นามสกุล
นามสกุลหมายเลข ๑ ที่พระราชทาน คือ นามสกุล “สุขุม” พระราชทาน เมื่อ วันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ ต้นสกุล คือ เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม)

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแมวเหมียวที่คุณอาจไม่เคยรู้



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          แมวเหมียวเป็นสัตว์น่ารัก ที่หลาย ๆ บ้านชอบเลี้ยงกันอย่างที่สุด เพราะนอกจากนิสัยขี้อ้อนแล้ว ความรักอิสระของมันที่ทำให้ไม่ต้องคอยดูแลมันโดยตลอดนั้น ก็ทำให้มันเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่ายมาก ๆ แต่นอกจากความขี้อ้อน น่ารัก ดื้อซนของมันแล้ว คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเจ้าเหมียวของคุณอีกบ้างนะ? วันนี้ กระปุกดอทคอมเลยขอรวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแมวเหมียวที่คุณอาจไม่รู้มาฝากกัน เพื่อให้คุณได้รู้จักเจ้าเหมียวในอาณัติของคุณมากขึ้นค่ะ

            แมวเป็นสัตว์กินเนื้อ จำพวกเดียวกับเสือ สิงโต เสือดาว
            แมวตัวเมียมีลูกได้ครอกละ 3-7 ตัว และตั้งท้องได้ทุก ๆ 4 เดือน
            คุณสามารถอ่านอารมณ์แมวได้ จากดวงตาของมัน
            อาหารแมวจำเป็นต้องมีไขมันผสมอยู่ด้วยเสมอ เพราะแมวไม่สามารถสร้างไขมันได้ด้วยตัวมันเอง
            แมวจะตอบสนองต่อชื่อที่ลงท้ายด้วยเสียง "อี้" ได้ดีที่สุด เช่น จูดี้ แม็คกี้
            ลูกแมวจะอยู่กับแม่มันจนกว่าจะอายุได้ 9 สัปดาห์
            แม่แมวจะตั้งท้องนาน 58-65 วัน
            แมวที่ถูกพาออกไปจากบ้านไกล ๆ จะหาทางกลับบ้านเองได้ แต่ถ้าเจ้าของออกจากบ้านไปไกล ๆ มันจะไม่สามารถตามหาเจ้าของได้
            แมวสามารถกระโดดได้สูงกว่าตัวมัน 7 เท่า
            แมวหลายตัวกินนมวัว หรือผลิตภัณฑ์นมในท้องตลาดไม่ได้ มันจะท้องเสีย


            10% ของกระดูกแมวอยู่ที่หาง
            แมวใช้เวลา 5 ชั่วโมงขึ้นไปในการเลียขนในแต่ละวัน
            แมวสามารถทำเสียงที่แตกต่างกันได้ถึง 60 เสียง
            แมวตัวผู้เริ่มผสมพันธุ์ได้ตั้งแต่อายุได้เพียง 7-10 เดือน
            แมวมีฟัน 30 ซี่ คือ ฟันหน้า 12 ซี่, ฟันกรามน้อย 10 ซี่, เขี้ยว 4 ซี่, และฟันกราม 4 ซี่
            แมวเป็นสัตว์ขี้เซา มันนอนได้มากถึงวันละ 16-18 ชั่วโมง
            แมวจะเป็นมิตรกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

            แมวมีชีวิตได้ถึง 20 ปี แต่โดยเฉลี่ยแล้วมันมีอายุขัยแค่ 14 ปีเท่านั้น
            แมวที่มีขนและผิวสีขาวที่หู มีแนวโน้มจะผิวอักเสบเพราะถูกแดดเผา
            แมวหายใจ 20-40 ครั้งต่อนาที
            แมวใช้กล้ามเนื้อกว่า 500 มัดในการกระโดด
            แมวไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ใต้จมูกได้โดยตรง 
            แมวมีขน 2 ชั้น ขนชั้นในละเอียดอ่อนนุ่ม ขนชั้นนอกยาวตรงมันวาว

          และนี่ก็คือความจริงเกี่ยวกับแมวเหมียวที่เรานำมาฝากกันวันนี้ เชื่อว่าหลาย ๆ ข้อคงทำให้คุณ ๆ ผู้รักแมวทั้งหลายฉงน และได้เข้าใจเรื่องแมว ๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อนอย่างแน่นอ

8 อาหารมหัศจรรย์เพื่อฟันสวย


แอปเปิ้ล

8 อาหารมหัศจรรย์เพื่อฟันสวย (Lisa)

          อยากฟันขาวต้องกินอะไร มีเทคนิคอย่างไรให้คราบอาหารหลุดลอก เรามาลองดูกัน

           1.แอปเปิ้ล และแครอท ทั้งสองอย่างนี้คือผักผลไม้กรอบที่ช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำลาย ซึ่งเป็นน้ำยาทำความสะอาดตามธรรมชาติ และด้วยความกรอบ จึงช่วยขัดคราบออกจากฟันในขณะที่เคี้ยวด้วย

           2.บร็อกโคลี่ ไม่เพียงแต่บร็อกโคลี่จะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันคุณจากมะเร็งและโรคหัวใจ แต่ยังช่วยปกป้องฟันโดยการสร้างเยื่อบาง ๆ ที่มีฤทธิ์ต้านกรด จึงช่วยปกป้องและเคลือบฟันอีกทีหนึ่ง เคยมีงานวิจัยจากบราซิลพบว่า บร็อกโคลี่จะช่วยลดการสึกกร่อนของเคลือบฟันที่เกิดจากน้ำอัดลมได้กว่าครึ่ง

           3.ส้ม และสับปะรด ผลไม้ทั้งสองช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำลาย สำหรับส้มนั้น ลองนำด้านในของเปลือกมาถูกับฟัน จะช่วยลดการสะสมของคราบ ทำให้ยิ้มของคุณสวยขึ้นอีก

           4.น้ำมะนาว สิ่งที่ต้องลองก็คือ ผสมน้ำมะนาวกับเบคกิ้งโซดา หรือเกลือ เพื่อนำมาแปรงฟันให้ฟันขาว (อย่าลืมกลั้วปากให้สะอาดด้วยน้ำเปล่าหลังจากนั้น เพราะกรดจากน้ำมะนาวอาจทำให้เคลือบฟันกร่อนได้)

           5.สตรอเบอร์รี่ แตกต่างจากเบอร์รี่สีเข้มอื่น ๆ เพราะสตรอเบอร์รี่จะไม่ทำให้ฟันเป็นคราบ แต่จะช่วยขัดฟัน ลองผสมแป้งทำเป็นครีมแล้วทาลงบนฟันสัก 5 นาทีแล้วค่อยล้าง จะพบว่าฟันสะอาดขึ้น

           6.เห็ดหอม ความลับอยู่ที่น้ำตาล Lentinan ในเห็ดหอม จะช่วยป้องกันการสะสมของแบคทีเรียในช่องปากที่นำไปสู่ฟันผุและเคลือบฟันกร่อน

           7.งา เมล็ดงาทำหน้าที่เป็นเหมือนสครับที่ช่วยลดคราบฟัน นอกจากนี้ ยังให้แคลเซียมซึ่งจำเป็นอย่างมากต่อสุขภาพฟันที่ดี นอกจากงาแล้ว ถั่วอย่างเช่น อัลมอนด์ ก็ให้ผลแบบเดียวกัน

           8.น้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์ นับเป็นน้ำยาขจัดคราบที่ดีมาก แต่รสชาติไม่ค่อยเหมาะกับการนำไปกลั้วปากเท่าไหร่ ลองใช้แอปเปิ้ลไซเดอร์ผสมกับเบกกิ้งโซดาทำเป็นครีมไว้ถูบนฟันจะดีกว่า

Tip

          คุณรู้หรือไม่ว่า.. วิธีแปรงฟันที่ดีที่สุดคือ จับหัวแปรงเอียง 45 องศา แล้วค่อย ๆ แปรงเป็นวงกลม เหมือนจับดินสอ คุณจะได้ไม่แปรงฟันแรงเกินไป

รู้จัก 10 ประเทศอาเซียน


ประเทศอาเซียน

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก flagspot.net , สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ 
 
          ในสภาวะแห่งยุคทุนนิยม ที่เศรษฐกิจเป็นตัวขับเคลื่อนและผลักดันให้ประเทศต่าง ๆ ก้าวรุดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ประกอบกับประเทศต่าง ๆ นั้นอยู่รวมกันเป็นสังคมโลก ไม่สามารถอยู่โดดเดี่ยวเดียวดายได้ จึงต้องมีการรวมตัวกันของประเทศในแต่ละภูมิภาคเพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรองและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีระหว่างประเทศ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ร่วมและพัฒนาประเทศในภูมิภาคไปพร้อม ๆ กัน ด้วยเหตุนี้ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือ อาเซียน จึงได้มีข้อตกลงให้อาเซียนรวมตัวเป็นชุมชนหรือประชาคมเดียวกันให้สำเร็จภายในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015)
 
          แต่ก่อนที่เราจะมาดูเนื้อหาสาระของการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนนี้ เราจะมาย้อนดูกันรวมตัวกันของประเทศในอาเซียนว่ามีการรวมตัวกันได้อย่างไร จนมาเป็นอาเซียนในปัจจุบัน 

          โดยอาเซียนหรือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  (ASEAN : The Association of South East Asian Nations) ได้ก่อตั้งเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2510 โดยประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียน คือ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ต่อมาในปีพ.ศ.2527 บรูไน ดารุสซาลาม ได้เข้ามาเป็นสมาชิก ตามด้วยเวียดนามเข้ามาเป็นสมาชิกเมื่อ พ.ศ. 2538  ขณะที่พม่าและลาวเข้ามาเป็นสมาชิกใน พ.ศ.2540 และประเทศสุดท้ายคือกัมพูชา เข้าเป็นสมาชิกอาเซียน เมื่อ พ.ศ. 2542  ปัจจุบันอาเซียนมีประเทศสมาชิกทั้งหมด 10 ประเทศ
 
 รู้จัก 10 ประเทศอาเซียน 


บรูไน


1.บรูไนดารุสซาลาม (Brunei Darussalam) 

          ประเทศบรูไน มีชื่อเป็นทางการว่า "เนการาบรูไนดารุสซาลาม" มีเมือง "บันดาร์เสรีเบกาวัน" เป็นเมืองหลวง ถือเป็นประเทศที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก เพราะมีพื้นที่ประมาณ 5,765 ตารางกิโลเมตร ปกครองด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีประชากร 381,371 คน (ข้อมูลปี พ.ศ.2550) โดยประชากรเกือบ 70% นับถือศาสนาอิสลาม และใช้ภาษามาเลย์เป็นภาษาราชการ

           อ่านข้อมูลของประเทศบรูไนได้ที่นี่ 


กัมพูชา

2.ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia)

          เมืองหลวงคือ กรุงพนมเปญ เป็นประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศไทยทางทิศเหนือ และทิศตะวันตก มีพื้นที่ 181,035 ตารางกิโลเมตร หรือขนาดประมาณ 1 ใน 3 ของประเทศไทย มีประชากร 14 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2550) โดยประชากรกว่า 80% อาศัยอยู่ในชนบท 95% นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ใช้ภาษาเขมรเป็นภาษาราชการ แต่ก็มีหลายคนที่พูดภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และเวียดนามได้

           อ่านข้อมูลประเทศกัมพูชา ได้ที่นี่ 


อินโดนีเซีย


3.สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (Republic of Indonesia)

          เมืองหลวงคือ จาการ์ตา ถือเป็นประเทศหมู่เกาะขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีพื้นที่ 1,919,440 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรมากถึง 240 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2553) โดย 61% อาศัยอยู่บนเกาะชวา ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม และใช้ภาษา Bahasa Indonesia เป็นภาษาราชการ

           อ่านข้อมูลประเทศอินโดนีเซีย ได้ที่นี่ 


ลาว

4.สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) (The Lao People's Democratic Republic of Lao PDR)

          เมืองหลวงคือ เวียงจันทน์ ติดต่อกับประเทศไทยทางทิศตะวันตก โดยประเทศลาวมีพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศไทย คือ 236,800 ตารางกิโลเมตร พื้นที่กว่า 90% เป็นภูเขาและที่ราบสูง และไม่มีพื้นที่ส่วนใดติดทะเล ปัจจุบัน ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม โดยมีประชากร 6.4 ล้านคน ใช้ภาษาลาวเป็นภาษาหลัก แต่ก็มีคนที่พูดภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศสได้ ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ 

           อ่านข้อมูลประเทศลาว ได้ที่นี่ 


มาเลเซีย


5.ประเทศมาเลเซีย (Malaysia)

          เมืองหลวงคือ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในเขตศูนย์สูตร แบ่งเป็นมาเลเซียตะวันตกบคาบสมุทรมลายู และมาเลเซียตะวันออก ตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียว ทั้งประเทศมีพื้นที่ 329,758 ตารางกิโลเมตร จำนวนประชากร 26.24 ล้านคน นับถือศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ ใช้ภาษา Bahasa Melayu เป็นภาษาราชการ

           อ่านข้อมูลประเทศมาเลเซีย ได้ที่นี่ 

ฟิลิปปินส์


6.สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (Republic of the Philippines)

          เมืองหลวงคือ กรุงมะนิลา ประกอบด้วยเกาะขนาดต่าง ๆ รวม 7,107 เกาะ โดยมีพื้นที่ดิน 298.170 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 92 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2553) ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ และเป็นประเทศที่มีประชากรนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเป็นอันดับ 4 ของโลก มีการใช้ภาษาในประเทศมากถึง 170 ภาษา แต่ใช้ภาษาอังกฤษ และภาษาตากาลอก เป็นภาษาราชการ

           อ่านข้อมูลประเทศฟิลิปปินส์ ได้ที่นี่ 


สิงคโปร์


7.สาธารณรัฐสิงคโปร์ (The Republic of Singapore)

          เมืองหลวงคือ กรุงสิงคโปร์ ตั้งอยู่บนตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางคมนาคมทางเรือของอาเซียน จึงเป็นประเทศที่มีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจมากที่สุดในย่านนี้ แม้จะมีพื้นที่ราว 699 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น มีประชากร 4.48 ล้านคน ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ แต่มีภาษามาเลย์เป็นภาษาประจำชาติ ปัจจุบันใช้การปกครองแบบสาธารณรัฐ (ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มีสภาเดียว)

           อ่านข้อมูลประเทศสิงคโปร์ ได้ที่นี่ 


ประเทศไทย


8.ราชอาณาจักรไทย (Kingdom of Thailand)

          เมืองหลวงคือกรุงเทพมหานคร มีพื้นที่ 513,115.02 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วย 77 จังหวัด มีประชากร 65.4 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2553) ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ และใช้ภาษาไทยเป็นภาษาราชการ ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประมุขของประเทศ

           อ่านข้อมูลประเทศไทย ได้ที่นี่ 


เวียดนาม

9.สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (The Socialist Republic of Vietnam)

          เมืองหลวงคือ กรุงฮานอย มีพื้นที่ 331,689 ตารางกิโลเมตร จากการสำรวจถึงเมื่อปี พ.ศ.2553 มีประชากรประมาณ 88 ล้านคน ประมาณ 25% อาศัยอยู่ในเขตเมือง ส่วนใหญ่ร้อยละ 70 นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน ที่เหลือนับถือศาสนาคริสต์ ปัจจุบัน ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ 

           อ่านข้อมูลประเทศเวียดนาม ได้ที่นี่ 


ประเทศพม่า


10.สหภาพพม่า (Union of Myanmar)

          มีเมืองหลวงคือ เนปิดอว ติดต่อกับประเทศไทยทางทิศตะวันออก โดยทั้งประเทศมีพื้นที่ประมาณ 678,500 ตารางกิโลเมตร ประชากร 48 ล้านคน กว่า 90% นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท หรือหินยาน และใช้ภาษาพม่าเป็นภาษาราชการ 

           อ่านข้อมูลประเทศพม่า ได้ที่นี่ 



ประเทศอาเซียน

          ตลอดระยะเวลา 44 ปีที่ผ่านมา อาเซียนได้เกิดความร่วมมือ รวมทั้งมีการวางกรอบความร่วมมือ เพื่อสร้างความเข็มแข็ง รวมถึงความมั่นคงของประเทศสมาชิกทั้งด้านความมั่นคงเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม และในปี พ.ศ. 2558 อาเซียนได้วางแนวทางก้าวไปสู่ประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์ ภายใต้คำขวัญคือ  "หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งเอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม" (One Vision, One Identity, One Community) โดยมุ่งเน้นไปที่ 3 ประชาคม คือ ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน(ASEAN Political Security Community : APSC)  ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community : ASCC)
 
          โดยเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2552 ผู้นำอาเซียนได้ลงนามรับรองปฏิญญาชะอำ หัวหิน ว่าด้วยแผนงานจัดตั้งประชาคมอาเซียน (ค.ศ. 2009-2015) เพื่อจัดตั้งประชาคมอาเซียนภายในปี 2558 ซึ่งประชาคมอาเซียนประกอบด้วยเสาหลัก 3 เสา ดังต่อไปนี้
 
           1.ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน  (ASEAN Security Community – ASC) มุ่งให้ประเทศในภูมิภาคอยู่ร่วมกันอย่างสันติ มีระบบแก้ไขความขัดแย้ง ระหว่างกันได้ด้วยดี มีเสถียรภาพอย่างรอบด้าน มีกรอบความร่วมมือเพื่อรับมือกับภัยคุกคามความมั่นคงทั้งรูปแบบเดิมและรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อให้ประชาชนมีความปลอดภัยและมั่นคง

           2.ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community – AEC) มุ่งให้เกิดการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจ และการอำนวยความสะดวกในการติดต่อค้าขายระหว่างกัน อันจะทำให้ภูมิภาคมีความเจริญมั่งคั่ง และสามารถแข่งขันกับภูมิภาคอื่น ๆ ได้เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนในประเทศอาเซียน โดย

                มุ่งให้เกิดการไหลเวียนอย่างเสรีของ สินค้า บริการ การลงทุน เงินทุน การพัฒนาทางเศรษฐกิจ และการลดปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางสังคมภายในปี 2020

                ทําให้อาเซียนเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว (single market and production base)

                 ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกใหม่ของอาเซียนเพื่อลดช่องว่างการพัฒนาและช่วยให้ประเทศเหล่านี้เข้าร่วมกระบวนการรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียน

                ส่งเสริมความร่วมมือในนโยบายการเงินและเศรษฐกิจมหภาคตลาดการเงินและตลาดทุน การปะกันภัยและภาษีอากร การพัฒนาโครงสร้างพิ้นฐานและการคมนาคม พัฒนาความร่วมมือด้านกฎหมาย การเกษตร พลังงาน การท่องเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยการยกระดับการศึกษาและการพัฒนาฝีมือแรงงาน
    
          กลุ่มสินค้าและบริการนำร่องที่สำคัญ ที่จะเกิดการรวมกลุ่มกัน คือ สินค้าเกษตร / สินค้าประมง / ผลิตภัณฑ์ไม้ / ผลิตภัณฑ์ยาง / สิ่งทอ / ยานยนต์ /อิเล็กทรอนิกส์ / เทคโนโลยีสารสนเทศ (e-ASEAN) / การบริการด้านสุขภาพ, ท่องเที่ยวและการขนส่งทางอากาศ (การบิน) กำหนดให้ปี พ.ศ. 2558 เป็นปีที่เริ่มรวมตัวกันอย่างเป็นทางการ โดยผ่อนปรนให้กับประเทศ ลาว กัมพูชา พม่า และเวียตนาม สำหรับประเทศไทยได้รับมอบหมายให้ทำ Roadmap ทางด้านท่องเที่ยวและการขนส่งทางอากาศ (การบิน)
 

ความร่วมมือ


           3.ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community – ASCC) เพื่อให้ประชาชนแต่ละประเทศอาเซียนอยู่ร่วมกันภายใต้แนวคิดสังคมที่เอื้ออาทร มีสวัสดิการทางสังคมที่ดี และมีความมั่นคงทางสังคม

          สำหรับการเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนนั้น ประเทศไทยในฐานะที่เป็นผู้นำในการก่อตั้งสมาคมอาเซียน มีศักยภาพในการเป็นแกนนำในการสร้างประชาคมอาเซียนให้เข้มแข็ง จึงได้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นประชาอาเซียน โดยจะมุ่งเน้นเรื่องการศึกษา ซึ่งจัดอยู่ในประชาคมสังคมและวัฒนธรรม ที่จะมีบทบาทสำคัญที่จะส่งเสริมให้ประชาคมด้านอื่น ๆ ให้มีความเข้มแข็ง เนื่องจากการศึกษาเป็นรากฐานของการพัฒนาในทุก ๆ ด้าน และจะมีการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านอาเซียนศึกษา เป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านศาสนาและวัฒนธรรม เพื่อขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนด้วยการศึกษา ด้วยการสร้างความเข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศอาเซียน ความแตกต่างทางด้านชาติพันธุ์ หลักสิทธิมนุษยชน ตลอดจนการส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศเพื่อพัฒนาการติดต่อสื่อสารระหว่างกันในประชาคมอาเซียน